Impact Flow   beta  
<

Hischool การช่วยเหลือและส่งเสริมการจ้างงานผู้พิการทางการเคลื่อนไหวทางร่างกาย

Hischool การช่วยเหลือและส่งเสริมการจ้างงานผู้พิการทางการเคลื่อนไหวทางร่างกาย โดย บริษัท แบ่ง-ปัน-ให้(วิสาหกิจเพื่อสังคม)จำกัด เป็นธุรกิจเพื่อสังคม (SOCIAL INNOVATION START UP) เป็นการทำธุรกิจที่อาศัยนวัตกรรม และต้องการให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างยั่งยืน คือธุรกิจเกิดขึ้น เพราะผู้ก่อตั้งมีความเห็นว่าธุรกิจมีความยั่งยืนได้ก็ต่อเมื่อ ธุรกิจและสังคมได้สนับสนุนเกื้อกูลซึ่งกันและกันได้อย่างแนบแน่น และเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่าย จนสามารถนำสินค้าหรือบริการของสังคมท้องถิ่น กระจายออกไปสู่ตลาดที่มีขนาดใหญ่ขึ้น หรือ Leap up สังคมให้มีความยั่งยืนต่อไปได้ จึงให้คำจำกัดความว่า “เป็นธุรกิจที่ช่วยแก้ปัญหาสังคม” และการที่สังคมให้การสนับสนุน ก็จะเป็นภูมิคุ้มกันที่ดีต่อความมั่นคงของธุรกิจในระยะยาวนั่นเอง จึงถูกจัดตั้งเป็นองค์กรที่แสวงหาผลกำไร เหมือนบริษัทฯ โดยทั่วไปแต่ได้รับการรับรองให้เป็นวิสาหกิจเพื่อสังคม โดยมีข้อแตกต่างที่เป็นจุดหลักของธุรกิจโดยทั่วไปคือผลกำไรที่ได้มานั้นจะกลับคืนไปสู่สังคมทุกภาคส่วน เพราะฉะนั้น สิ่งที่แตกต่างคือเจตนารมย์ของผู้ก่อตั้งและหุ้นส่วน ต้องการให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางสังคมด้วยการเปิดโอกาสให้ผู้ที่ด้อยโอกาส ได้เกิดการสร้างงานให้ชุมชนในท้องถิ่น ควบคู่ไปกับการมีผลกำไรในทางธุรกิจ จึงเลือกใช้โมเดล Social Enterprise ให้มีผลตอบแทนต่อสังคมใน 5 มิติ ประกอบด้วย 1. ร้านค้า : ช่วยเหลือเกื้อกูลให้ร้านค้าสามารถมีช่องทางจำหน่ายแบบออนไลน์เข้าถึงผู้บริโภคได้ 2. ผู้พิการและผู้ด้อยโอกาส 3. กลุ่มขนส่งและมอเตอร์ไซค์รับจ้าง 4. กลุ่มเกษตรกร และประมงพื้นบ้าน 5. นักเรียนและโรงเรียนขนาดเล็กสังกัด สปพ.สมุทรสาคร รวม 24 โรงเรียน แต่โดยแท้จริง โมเดลหลักของธุรกิจของทุกวันนี้ คือ การช่วยเหลือและส่งเสริมการจ้างงานผู้พิการทางการเคลื่อนไหวทางร่างกายนั้นเอง

โลกของความเป็นจริงการจ้างงานผู้พิการทางการเคลื่อนไหวในประเทศไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายทั้งในเชิงโครงสร้าง สังคม และการเข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจ แม้จะมีนโยบายที่สนับสนุนการจ้างงานผู้พิการ เช่น มาตรา 33 และ 35 ของกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ แต่การนำไปสู่การปฏิบัติจริงกลับยังห่างไกลจากเป้าหมาย โดยมีสาเหตุหลักดังนี้: -ความเข้าใจของนายจ้างต่อศักยภาพของผู้พิการยังคงอยู่ในกรอบจำกัดและตีตรา -สถานประกอบการจำนวนมากยังไม่มีการปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมต่อการเข้าถึงของผู้พิการ -ผู้พิการขาดระบบสนับสนุนการฝึกทักษะอาชีพที่เชื่อมโยงกับตลาดแรงงานจริง -ผู้พิการจำนวนมากยังคงไม่มีโอกาสในการมีรายได้อย่างมั่นคง และมีคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืน และ ช่องว่างในการวัดและจัดการผลกระทบ แม้หลายโครงการในอดีตจะมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสทางอาชีพให้แก่ผู้พิการ แต่กลับขาดระบบในการวัดและจัดการผลกระทบที่เป็นระบบ (Impact Measurement and Management – IMM) ส่งผลให้ไม่สามารถประเมินความเปลี่ยนแปลงเชิงลึกที่เกิดขึ้นกับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแท้จริง ช่องว่างหลัก ได้แก่: 1.ขาดเครื่องมือ IMM ที่เป็นระบบ 2.โครงการส่วนใหญ่มุ่งวัดเฉพาะ “ผลผลิต” (Outputs) เช่น จำนวนผู้เข้าร่วม แต่ไม่สามารถติดตาม “ผลลัพธ์” (Outcomes) และ “ผลกระทบ” (Impacts) ในระยะยาว 3.ไม่มีตัวชี้วัดที่สะท้อนคุณค่าทางสังคม เช่น การเปลี่ยนแปลงด้านความภาคภูมิใจ ความสามารถพึ่งพาตนเอง หรือการยอมรับจากสังคม 4.ขาดการติดตามผลระยะยาว (Longitudinal Tracking)ไม่มีระบบเก็บข้อมูลอย่างต่อเนื่อง ทำให้ไม่สามารถทราบได้ว่าผู้พิการยังคงมีงานทำหรือได้รับผลกระทบอย่างไรหลังโครงการสิ้นสุด 5.ไม่มีการวิเคราะห์ความคุ้มค่าทางสังคม (SROI)ภาคีที่เกี่ยวข้องไม่สามารถประเมินความคุ้มค่าเชิงสังคมและเศรษฐกิจจากการลงทุนในโครงการได้ชัดเจน 6.ไม่มีการใช้ผลลัพธ์ในการปรับปรุงนโยบายและขยายผล (Feedback Loop)ขาดระบบป้อนกลับที่นำข้อมูลผลกระทบไปพัฒนารูปแบบการดำเนินงานให้ตอบโจทย์ความเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง

แนวทางการแก้ไข เพื่อให้โครงการสามารถบรรลุผลกระทบทางสังคมได้อย่างแท้จริง ควรมีการพัฒนาและบูรณาการระบบ IMM ดังนี้: 1.จัดทำ Theory of Change และวางกรอบ ตัวชี้วัดผลลัพธ์ระดับ Output, Outcome, Impact 2.เก็บข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ เช่น แบบสอบถาม รายงานรายได้ การสัมภาษณ์ชีวิตจริง 3.วิเคราะห์ความคุ้มค่าด้วยโมเดล SROI (Social Return on Investment) 4.สร้าง Dashboard การติดตามผลแบบ real-time และ Feedback Loop กับผู้มีส่วนได้เสีย 5.นำข้อมูลผลกระทบมาใช้กำหนดนโยบายและแนวทางการขยายผลอย่างยั่งยืน

:    12
:      500,000.00

:         นายอภิชาติ จันทร์ทองแท้ (กรรมการผู้จัดการ)
นางสาวมณีรัตน์ บุญสินธุ์ (ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ)


การช่วยเหลือและส่งเสริมการจ้างงานผู้พิการทางการเคลื่อนไหวทางร่างกาย โครงการนี้สามารถเชื่อมโยงกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ได้หลายข้อ ดังนี้: 1. Goal 1: No Poverty. ขจัดความยากจน :สร้างรายได้ให้ผู้พิการ ช่วยลดภาระครอบครัว

Goal 1: No Poverty
Goal 1: No Poverty

2. SDG 8 งานที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ : ส่งเสริมการจ้างงานผู้พิการให้มีศักดิ์ศรีและยั่งยืน

Goal 8: Decent Work and Economic Growth
Goal 8: Decent Work and Economic Growth

3. SDG 10 ลดความเหลื่อมล้ำ :เปิดโอกาสให้ผู้พิการเข้าถึงทรัพยากรทางเศรษฐกิจ

Goal 10: Reduced Inequality
Goal 10: Reduced Inequality

4. SDG 17 หุ้นส่วนความร่วมมือ :สร้างความร่วมมือระหว่างเอกชน-รัฐ-วิสาหกิจเพื่อสังคม

Goal 17: Partnerships to achieve the Goal
Goal 17: Partnerships to achieve the Goal



   

ผู้พิการ

    ผู้พิการทางการเคลื่อนไหวเป็นกลุ่มประชากรที่มีข้อจำกัดในการเข้าถึงโอกาสด้านอาชีพและเศรษฐกิจ แม้จะมีศักยภาพและความสามารถเฉพาะตัว แต่กลับถูกจำกัดโดยอุปสรรคเชิงกายภาพ สังคม และความไม่พร้อมของระบบสนับสนุน ผู้พิการจึงมักตกอยู่ในภาวะว่างงานหรือมีรายได้ต่ำ ไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน โครงการนี้จึงมุ่งเน้นการสร้างโอกาสที่เท่าเทียม ผ่านการจ้างงาน การฝึกทักษะอาชีพ และการส่งเสริมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
   
    
     1.ขาดการยอมรับจากนายจ้างและสังคมทั่วไปในเรื่องศักยภาพของผู้พิการ 2.ผู้พิการขาดโอกาสในการเข้าถึงแหล่งรายได้ที่มั่นคง และยังไม่สามารถเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจหลักได้ 3.สถานที่ทำงานส่วนใหญ่มิได้ออกแบบให้เอื้อต่อการเข้าถึงของผู้พิการทางร่างกาย 4.ผู้พิการบางส่วนยังขาดความมั่นใจในการเข้าสู่ตลาดแรงงาน เพราะไม่มีทักษะอาชีพที่เชื่อมโยงกับตลาด 5.โอกาส: หากมีระบบการฝึกอาชีพ การเปิดตลาดรองรับผลิตภัณฑ์ หรือการจ้างงานที่เหมาะสม จะช่วยให้ผู้พิการมีรายได้ พึ่งพาตนเองได้ และมีศักดิ์ศรีในสังคมมากยิ่งขึ้น

1.จัดอบรมทักษะอาชีพที่สามารถทำได้จากที่บ้าน เช่น การแพ็คสินค้า การผลิตสินค้า มาตรา 35 2.ให้คำปรึกษาและเตรียมความพร้อมสำหรับการเข้าสู่ตลาดแรงงาน 3.ประสานงานกับหน่วยงานรัฐ/เอกชนเพื่อให้มีการจ้างงานหรือให้พื้นที่จำหน่ายสินค้า

1.ผู้พิการเข้าร่วมอบรมแล้วจำนวน 25 คน 2.มีผู้พิการที่เริ่มผลิตสินค้าตามคำสั่งซื้อจากผู้ประกอบการ 3.จำนวน 10 แห่งที่จัดหาพื้นที่จำหน่ายสินค้าผู้พิการ

  
ช่องทางจำหน่าย จำนวนช่องทางจำหน่ายที่เปิดรับผลิตภัณฑ์ผู้พิการ

1 ช่องทาง

10 ช่องทาง

1.จัดอบรมทักษะอาชีพที่สามารถทำได้จากที่บ้าน เช่น การแพ็คสินค้า การผลิตสินค้า มาตรา 35 2.ให้คำปรึกษาและเตรียมความพร้อมสำหรับการเข้าสู่ตลาดแรงงาน 3.ประสานงานกับหน่วยงานรัฐ/เอกชนเพื่อให้มีการจ้างงานหรือให้พื้นที่จำหน่ายสินค้า

1.ผู้พิการมีรายได้เฉลี่ยเพิ่มขึ้นจากเดิม 1,500 → 5,000 บาท/เดือน 2.ผู้พิการมีความมั่นใจในการเข้าสังคมมากขึ้น และสามารถพึ่งพาตนเองได้บางส่วน 3.ความสัมพันธ์ในครอบครัวดีขึ้น เนื่องจากมีรายได้มาจุนเจือ

  





1.ผู้พิการเข้าร่วมอบรมแล้วจำนวน 25 คน 2.มีผู้พิการที่เริ่มผลิตสินค้าตามคำสั่งซื้อจากผู้ประกอบการ 3.จำนวน 10 แห่งที่จัดหาพื้นที่จำหน่ายสินค้าผู้พิการ


   

ผู้ประกอบการ

    ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการเป็นกลุ่มธุรกิจ SME หรือร้านค้าในชุมชนที่มีความสนใจในการสนับสนุนการจ้างงานผู้พิการหรือรับผลิตภัณฑ์มาตรา 35 เพื่อใช้ในกิจการของตนเอง โดยผู้ประกอบการเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการเปิดโอกาสทางตลาดแก่ผู้พิการ ช่วยสร้างรายได้และเพิ่มศักยภาพในการพึ่งพาตนเองของกลุ่มเปราะบาง พร้อมทั้งได้รับประโยชน์ทางภาพลักษณ์ และสามารถลดต้นทุนผ่านกลไกความร่วมมือทางสังคม
   
    
     1.ขาดช่องทางในการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ที่ผลิตโดยผู้พิการที่ได้มาตรฐาน 2.ไม่มีข้อมูลหรือระบบเชื่อมโยงกับแหล่งแรงงานผู้พิการที่มีทักษะ 3.ขาดแรงจูงใจหรือสิทธิประโยชน์ทางภาษี/ภาพลักษณ์ที่ชัดเจนในการร่วมมือ 4.โอกาส: หากมีระบบกลางที่ช่วยคัดกรอง สนับสนุน และติดตามคุณภาพสินค้า/บริการ จะทำให้ผู้ประกอบการสามารถร่วมสร้างคุณค่าทางสังคมได้อย่างยั่งยืนและไม่เพิ่มต้นทุนทางธุรกิจ

1.ประสานงานกับผู้ประกอบการเพื่อรับสินค้า/บริการจากผู้พิการภายใต้ มาตรา 35 2.จัดกิจกรรม Matching ระหว่างผู้ประกอบการกับกลุ่มผู้พิการที่มีทักษะอาชีพ 3.ให้ข้อมูลสิทธิประโยชน์ / CSR / การลดหย่อนภาษีที่ผู้ประกอบการจะได้รับ 4.สนับสนุนการสื่อสารแบรนด์ว่าเป็น “กิจการเพื่อสังคมร่วมมือ”

1.ผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการจำนวน 20 ราย 2.มีการสั่งซื้อหรือจ้างงานผู้พิการจาก 10 รายแรกภายใน 3 เดือน 3.จัดประชุม / Matching Day สำเร็จ 2 ครั้งต่อปี ผู้ประกอบการได้รับเอกสารแสดงความร่วมมือเพื่อใช้ในกิจกรรม 4.CSR หรือสื่อสารองค์กร

  




1.ประสานงานกับผู้ประกอบการเพื่อรับสินค้า/บริการจากผู้พิการภายใต้ มาตรา 35 2.จัดกิจกรรม Matching ระหว่างผู้ประกอบการกับกลุ่มผู้พิการที่มีทักษะอาชีพ 3.ให้ข้อมูลสิทธิประโยชน์ / CSR / การลดหย่อนภาษีที่ผู้ประกอบการจะได้รับ 4.สนับสนุนการสื่อสารแบรนด์ว่าเป็น “กิจการเพื่อสังคมร่วมมือ”

1.ผู้ประกอบการมีความเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับประเด็น ESG และการจ้างงานผู้พิการ 2.ผู้ประกอบการสามารถใช้ช่องทางความร่วมมือเพื่อเพิ่มมูลค่าแบรนด์และความไว้วางใจจากลูกค้า 3.ลดต้นทุนบางส่วนจากการจ้างแรงงานผู้พิการตามกลไกมาตรา 35 แทนการจ่ายเงินเข้ากองทุน 4.มีแผนดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบต่อสังคมในระยะยาว

  





1.ผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการจำนวน 20 ราย 2.มีการสั่งซื้อหรือจ้างงานผู้พิการจาก 10 รายแรกภายใน 3 เดือน 3.จัดประชุม / Matching Day สำเร็จ 2 ครั้งต่อปี ผู้ประกอบการได้รับเอกสารแสดงความร่วมมือเพื่อใช้ในกิจกรรม 4.CSR หรือสื่อสารองค์กร


   

รัฐ/องค์กรรัฐ

    หน่วยงานภาครัฐและองค์กรของรัฐ เช่น กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ, กรมการจัดหางาน, สำนักงานสวัสดิการ และหน่วยงานท้องถิ่น มีบทบาทสำคัญในการผลักดันนโยบายการจ้างงานผู้พิการภายใต้กฎหมายมาตรา 33 และ 35 ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อลดความเหลื่อมล้ำและสร้างโอกาสที่เท่าเทียม รัฐจึงเป็นผู้ได้รับประโยชน์โดยตรงจากการที่ผู้พิการสามารถเข้าสู่ระบบแรงงานอย่างยั่งยืน ลดภาระการพึ่งพารัฐ และบรรลุเป้าหมายเชิงนโยบายที่จับต้องได้
   
    
     1.หน่วยงานรัฐหลายแห่งยังขาดกลไกติดตามผลลัพธ์ที่แท้จริงจากมาตรา 35 เช่น จำนวนผู้พิการที่ได้รายได้ยั่งยืน 2.ขาดข้อมูลเชิงลึกและหลักฐานผลกระทบทางสังคม (IMM, SROI) ที่จะช่วยพัฒนาและขยายผลนโยบายได้ตรงเป้า 3.การดำเนินโครงการมักขาดความเชื่อมโยงระหว่างส่วนกลางและท้องถิ่น ทำให้การบูรณาการไม่เต็มประสิทธิภาพ 4.โอกาส: หากมีระบบความร่วมมือแบบ PPP (Public-Private-People Partnership) รัฐสามารถทำงานร่วมกับภาคธุรกิจและชุมชนได้อย่างมีประสิทธิผลและเกิดผลกระทบทางสังคมชัดเจน

1.ประสานงานกับหน่วยงานรัฐเพื่อขอสนับสนุนการจ้างงานผู้พิการตามมาตรา 33 และ 35 2.จัดเวทีประชุมร่วมกับหน่วยงานรัฐและท้องถิ่นเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลการส่งเสริมอาชีพ 3.ร่วมดำเนินโครงการนำร่องกับหน่วยงานรัฐเพื่อสร้างโมเดลจ้างงานยั่งยืน 4.จัดทำรายงานผลกระทบทางสังคมเพื่อเสนอต่อกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ

1.หน่วยงานรัฐเข้าร่วมประชุมความร่วมมือจำนวน 5 แห่ง 2.มีการลงนามความร่วมมือกับหน่วยงานรัฐ 2 แห่ง (เช่น เทศบาล / กรมพัฒนาสังคมฯ) 3.ส่งรายงานติดตามผลการจ้างงานผู้พิการให้กับหน่วยงานรัฐ 3 ครั้ง/ปี 4.ได้รับหนังสือรับรองความร่วมมือจากภาครัฐเพื่อใช้ต่อยอดนโยบาย

  




1.ประสานงานกับหน่วยงานรัฐเพื่อขอสนับสนุนการจ้างงานผู้พิการตามมาตรา 33 และ 35 2.จัดเวทีประชุมร่วมกับหน่วยงานรัฐและท้องถิ่นเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลการส่งเสริมอาชีพ 3.ร่วมดำเนินโครงการนำร่องกับหน่วยงานรัฐเพื่อสร้างโมเดลจ้างงานยั่งยืน 4.จัดทำรายงานผลกระทบทางสังคมเพื่อเสนอต่อกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ

1.หน่วยงานรัฐสามารถบรรลุเป้าหมายด้าน SDG และการส่งเสริมสังคมผู้พิการได้จริง 2.ลดภาระการจ่ายเงินชดเชยผู้พิการที่ไม่มีงานทำผ่านระบบกองทุน 3.มีข้อมูลผลกระทบและข้อเสนอเชิงนโยบายที่นำไปปรับใช้ต่อได้ในระดับจังหวัด / ประเทศ 4.เกิดความร่วมมือระหว่างรัฐ-เอกชน-ชุมชนในการพัฒนาเศรษฐกิจแบบมีส่วนร่วม (inclusive economy)

  





1.หน่วยงานรัฐเข้าร่วมประชุมความร่วมมือจำนวน 5 แห่ง 2.มีการลงนามความร่วมมือกับหน่วยงานรัฐ 2 แห่ง (เช่น เทศบาล / กรมพัฒนาสังคมฯ) 3.ส่งรายงานติดตามผลการจ้างงานผู้พิการให้กับหน่วยงานรัฐ 3 ครั้ง/ปี 4.ได้รับหนังสือรับรองความร่วมมือจากภาครัฐเพื่อใช้ต่อยอดนโยบาย


   

ลูกค้า/ประชาชน

    ลูกค้าและประชาชนทั่วไปที่เข้าถึงสินค้าและบริการจากผู้พิการ ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ตามมาตรา 35 สินค้าจากชุมชน หรือบริการที่ปรับตามความสามารถของกลุ่มเปราะบาง กลุ่มประชาชนเหล่านี้ได้รับโอกาสในการบริโภคอย่างมีจิตสำนึก (conscious consumption) และกลายเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจแบบมีส่วนร่วม ขณะเดียวกันยังได้สินค้าที่มีคุณภาพในราคาที่ยุติธรรม
   
    
     ประชาชนจำนวนมากยังไม่ทราบว่ามี “สินค้าจากผู้พิการ” หรือ “มาตรา 35” อยู่ในตลาด ขาดความมั่นใจในคุณภาพสินค้า/บริการจากกลุ่มเปราะบางเนื่องจากไม่มีการสื่อสารหรือรับรองอย่างเป็นระบบ โอกาส: หากมีการส่งเสริมการรับรู้และการเข้าถึงสินค้าผู้พิการผ่านช่องทางที่หลากหลาย เช่น ร้านสะดวกซื้อ, งานแสดงสินค้า, e-commerce, ประชาชนจะมีส่วนร่วมทางอ้อมในการลดความเหลื่อมล้ำ โอกาสระยะยาว: การปลูกฝังพฤติกรรมการบริโภคที่คำนึงถึงผู้ด้อยโอกาส จะสร้างสังคมแห่งการแบ่งปันที่แท้จริง

กิจกรรมที่โครงการทำเพื่อเข้าถึงและสร้างประโยชน์แก่ประชาชน 1.จัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์สินค้าและบริการของผู้พิการผ่านสื่อออนไลน์ (TikTok, Facebook, Line OA) 2.เปิด “จุดจำหน่ายสินค้า” ที่เข้าถึงง่าย เช่น ร้านสะดวกซื้อในชุมชน, หน่วยงานรัฐ, ตลาดนัดสาธารณะ 3.จัดแคมเปญส่งเสริมการขาย “ซื้อ = แบ่งปัน” ให้ประชาชนเห็นคุณค่าของการสนับสนุนผู้พิการ 4.สร้างช่องทางจำหน่ายออนไลน์ (ผ่าน Shopee, Lazada, เว็บไซต์ของวิสาหกิจเพื่อสังคม) 5.ออกแบบบรรจุภัณฑ์/ป้ายสินค้าให้ประชาชนรู้ชัดว่า “สินค้านี้ผลิตโดยผู้พิการ”

1.จำนวนประชาชนที่เข้าถึงสินค้าในแต่ละเดือน ≥ 5,000 คน 2.มีจุดจำหน่ายสินค้าที่ร่วมโครงการ ≥ 20 จุด 3.สร้างการมีส่วนร่วมผ่านโซเชียลมีเดีย ≥ 100,000 impressions 4.มีคำสั่งซื้อสินค้า/บริการที่มาจากลูกค้าทั่วไป ≥ 1,000 รายการต่อเดือน 5.ประชาชนรับรู้ว่า “สินค้าที่ซื้อ” มาจากการสนับสนุนผู้พิการ ≥ 80%

  




กิจกรรมที่โครงการทำเพื่อเข้าถึงและสร้างประโยชน์แก่ประชาชน 1.จัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์สินค้าและบริการของผู้พิการผ่านสื่อออนไลน์ (TikTok, Facebook, Line OA) 2.เปิด “จุดจำหน่ายสินค้า” ที่เข้าถึงง่าย เช่น ร้านสะดวกซื้อในชุมชน, หน่วยงานรัฐ, ตลาดนัดสาธารณะ 3.จัดแคมเปญส่งเสริมการขาย “ซื้อ = แบ่งปัน” ให้ประชาชนเห็นคุณค่าของการสนับสนุนผู้พิการ 4.สร้างช่องทางจำหน่ายออนไลน์ (ผ่าน Shopee, Lazada, เว็บไซต์ของวิสาหกิจเพื่อสังคม) 5.ออกแบบบรรจุภัณฑ์/ป้ายสินค้าให้ประชาชนรู้ชัดว่า “สินค้านี้ผลิตโดยผู้พิการ”

1.ประชาชนมีทัศนคติเชิงบวกต่อผู้พิการมากขึ้น (วัดจากแบบสอบถามหลังซื้อสินค้า) 2.ประชาชนรู้จัก “ระบบสินค้าสังคม มาตรา 35” และเข้าใจบทบาทของตนในห่วงโซ่เศรษฐกิจ 3.เกิดการซื้อซ้ำจากลูกค้ากลุ่มเดิม ≥ 40% 4.ลูกค้ารู้สึก “มีส่วนร่วม” ในการช่วยเหลือสังคมผ่านพฤติกรรมการบริโภค 5.สร้างพฤติกรรม “conscious consumption” หรือการบริโภคอย่างมีจิตสำนึกในวงกว้าง

  





1.จำนวนประชาชนที่เข้าถึงสินค้าในแต่ละเดือน ≥ 5,000 คน 2.มีจุดจำหน่ายสินค้าที่ร่วมโครงการ ≥ 20 จุด 3.สร้างการมีส่วนร่วมผ่านโซเชียลมีเดีย ≥ 100,000 impressions 4.มีคำสั่งซื้อสินค้า/บริการที่มาจากลูกค้าทั่วไป ≥ 1,000 รายการต่อเดือน 5.ประชาชนรับรู้ว่า “สินค้าที่ซื้อ” มาจากการสนับสนุนผู้พิการ ≥ 80%